080 175 2000 info@53ac.com

บริษัทในเครือ ให้พนักงานกู้ยืมเงิน ต้องเสียภาษีอย่างไร

ปัจจุบัน บริษัทต่าง ๆ ประกอบธุรกิจหลายประเภทในรูปของบริษัทในเครือเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการประกอบกิจการและเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยปกติบริษัทในเครือแต่ละบริษัทจะมีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงานของบริษัทเป็นลายลักษณ์อักษรโดยบริษัทจะนำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานของบริษัทในเครือที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเป็นสวัสดิการ และคิดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าราคาตลาด บริษัทมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะ ดังนี้

1 กรณีบริษัทในเครือบริษัทหนึ่งตกลงให้พนักงานของบริษัทตนกู้ยืมเงินตามระเบียบโดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดจากพนักงานรายนั้น ถือเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด โดยมีเหตุอันสมควร ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทไม่ต้องนำดอกเบี้ยนั้นมารวมเป็นรายรับเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.26/2534 เรื่องดอกเบี้ยสำหรับกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ตามมาตรา 91/5 (5) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2534 และเมื่อบริษัทได้รับคืนเงินต้นจากพนักงานที่กู้ยืมไปบริษัทไม่ต้องนำเงินต้นที่ได้รับดังกล่าวมาถือเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร

2 กรณีบริษัทในเครือด้วยกันตกลงว่า หากพนักงานรายใดก็ตามที่ทำงานในบริษัทในเครือพนักงานรายดังกล่าวมีสิทธิกู้ยืมเงินจากบริษัทหลักซึ่งเป็นบริษัทแม่ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด แม้ว่าพนักงานรายดังกล่าวจะมิได้เป็นลูกจ้างโดยตรงในบริษัทหลักก็ตาม ถือได้ว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะประเมินดอกเบี้ยตามราคาตลาดในวันที่ให้กู้ยืมได้

3 กรณีบริษัทให้สวัสดิการแก่พนักงานในลักษณะของการให้กู้ยืมเงินจากบริษัทได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าราคาตลาด ต่อมาเมื่อพนักงานโอนย้ายไปยังบริษัทในเครือเดียวกันหรือลาออกไปทำงานกับบริษัทอื่นซึ่งไม่ใช่บริษัทในเครือเดียวกัน เป็นผลทำให้ความเป็นพนักงานของบริษัทได้สิ้นสุดลง หากบริษัทยังคงให้ลูกจ้างรายนั้นกู้ยืมเงินต่อไปอีกโดยคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการให้กู้ยืมเงินโดยมีดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร

4 กรณีบริษัทให้พนักงานกู้ยืมเงินโดยไม่มีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงานหรือทุนอื่นใด หรือกรณีที่บริษัทให้พนักงานของบริษัทในเครือเดียวกันหรือพนักงานของบริษัทอื่นกู้ยืมเงิน ถือเป็นการประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 91/2 (5) แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีที่บริษัทให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยหรือมีดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจกำหนดดอกเบี้ยตามราคาตลาดได้ ตามมาตรา 91/16 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

อนึ่ง กรณีบริษัทให้พนักงานกู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นปกติธุระ บริษัทมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/13 (2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่หากการให้กู้ยืมนั้นเป็นการให้กู้ยืมเงินเพียงครั้งคราว มิใช่การประกอบกิจการเป็นปกติธุระ กรณีดังกล่าวบริษัทไม่ต้องจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/13 (2) แห่งประมวลรัษฎากร และตามข้อ 1 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะ เรื่องการกำหนดกิจการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ลงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2535 แต่บริษัทยังคงมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/10 แห่งประมวลรัษฎากรประเด็นภาษีอากรเกี่ยวกับบริษัทในเครือให้พนักงานของบริษัทกู้ยืมเงิน เป็นประเด็นที่มักเกิดขึ้นกับหลาย ๆ บริษัทที่ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อจะได้เสียภาษีอากรให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

 

 2,067 total views,  1 views today